วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

พาไปชม "พูนาคา ซอง" (Punakha Dzong) ป้อมปราการที่สวยที่สุดแห่งภูฏาน (Bhutan)

จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ เจ้าชายจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก ทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 11-20 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ทำให้เราคนไทย ได้รู้จักกับประเทศภูฏาน

อีกทั้งได้เห็นถึงพระจริยวัตรที่งดงาม อ่อนน้อม ถ่อมตน ทำให้ยิ่งได้รับการต้อนรับและการแสดงความชื่นชมจากคนไทย อย่างที่ไม่เคยมีเจ้าชายต่างแดนองค์ใดได้เคยได้รับมาก่อน

และเมื่อได้เห็นสารคดีท่องเที่ยว หรือจากนิตยสารต่างๆ ยิ่งทำให้จำภาพป้อมปราการแห่งนี้ติดตา จนทำให้เป็นความตั้งใจ อยากมาเที่ยวชม และสัมผัสยังสถานที่จริงในทริปนี้

ซึ่งการเดินทางมายังเมืองพูนาคาแห่งนี้ ถือว่าไม่ยุ่งยากนัก แต่หนทางที่ไกลมาก เพราะต้องเดินทางจากเมืองพาโร ไปค้างยังเมืองทิมพู กว่าจะเดินทางมายังเมืองนี้อีกวัน แต่ได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติตลอดเส้นทางที่สุดประทับใจ ไว้จะมานำเสนอในโอกาสต่อไป ... จากภาพนี้จะมองเห็นแม่น้ำ Pho Chu (บิดา) และ แม่น้ำ Mo Chu (มารดา) ที่มาบรรจบกันพอดี ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมปราการ Punakha Dzong แห่งนี้

เมื่อเดินทางมาถึง พวกเราก็แวะกันเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน ไม่เว้นแม้แต่ถ่ายภาพเด็กนักเรียนชาวภูฏานใบหน้าจิ้มลิ้มเหล่านี้

มาถึงสะพานเพื่อเข้าไปยังป้อมปราการ พวกเราก็ไม่รีรอ ขอเข้าไปชื่นชมภายใน สมกับการรอคอย และต้องถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้อีกด้วย

ซึ่งการเดินทางมาถึงสถานที่อันยิ่งใหญ่และเงียบสงบ รายรอบไปด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์

ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์อย่างยิ่ง อากาศที่เย็นสบาย เพราะเราเดินทางมาในช่วงฤดูฝน

และสังเกตได้ว่า จะมีเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวของพวกเราเท่านั้น

พวกเราไม่รีรอ พร้อมใจกันจูงกันขึ้นบันไดที่สูงมาก เพราะสมัยก่อนเวลามีการสู้รบ ก็จะยกบันไดไม้ที่เห็นอยู่ข้างหน้าขึ้น ก็เหมือนกับกำแพงสูงนั่นเอง ยากที่ข้าศึกจะปีนเข้ามาภายใน

และที่สำคัญคือ ป้อมปราการแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน กับ นางสาวเจตซุน เปมา ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีองค์ใหม่ แห่งราชอาณาจักรภูฏาน นำความปลาบปลื้มมาสู่ชาวภูฏาน และชาวโลก

ในเมืองพูนาคา เมืองหลวงเก่าของประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณทางศาสนาและร่องรอยทางวัฒนธรรม

เดินชมรายละเอียดของสถาปัตยกรรมและศิลปะ

ส่วนใหญ่จะสร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ และมีหลายชั้น

ประกอบไปด้วยอาคารต่างๆ

แต่เงียบสงบมากๆ

จนรู้สึกไปว่า เรากำลังอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากความวุ่นวายต่างๆ ของโลกใบนี้

ที่ซึ่งคนเรา มีความสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ทำให้ลืมวิถีชีวิตประจำวันไปได้พักนึง

สำหรับการมาท่องเที่ยวภูฏานนั้น พวกเราได้ไปเที่ยวป้อมปราการหลายๆ แห่ง ทั้งในเมืองพาโร และเมืองทิมพู ซึ่งจะมีบริเวณที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ภายใน ขอบอกว่า งดงามมากๆ แต่ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพได้

องค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งขนาดใหญ่ และงดงามในรายละเอียด จนอยากให้มาชื่นชมด้วยตัวเอง ไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรให้เห็นภาพ

ด้วยศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ และความศรัทธาทางศาสนาอย่างดีเยี่ยม

พวกเราก็ถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึก เป็นทริปที่ประทับใจ ไม่มีวันลืม

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุ้มค่ากับการเดินทาง

แม้จะไกลซักหน่อย แต่ก็ได้สัมผัสกับความประทับใจ เกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้

ด้วยเพราะอาจได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวไม่มากนัก

ทำให้มาพบกับของจริง ทำให้ตื่นตาตื่นใจ

"พูนาคา ซอง" แห่งนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชวัง เป็นที่ทำงานส่วนราชการในฤดูหนาว ซึ่งในช่วงหน้าหนาว เมืองทิมพูจะหนาวมากเพราะอยู่บนที่สูงกว่า ดังนั้นพอย่างเข้าสู่ฤดูหนาว หน่วยงานราชการและสำนักพระราชวังก็ย้ายมาอยู่ภายในป้อมแห่งนี้

แม้ว่าป้อมปราการแห่งนี้ เคยถูกไฟไหม้มาหลายครั้ง ถูกน้ำท่วมใหญ่ และถูกแผ่นดินไหว แต่ตัวป้อมก็ได้รับการบูรณะโดยไม่ได้โยกย้ายแต่ประการใด

สำหรับการมาท่องเที่ยวป้อมปราการต่างๆ มีข้อกำหนดเล็กน้อย คือ การแต่งกายสุภาพเรียบร้อย เพื่อเป็นการเคารพต่อสถานที่ และภายในป้อมสามารถถ่ายภาพได้ ยกเว้น พระพุทธรูป

และเมื่อเดินออกมาภายนอก ก็จะพบกับอาคารหลังอื่นๆ

ก็ต้องขอแวะเดินไปเที่ยวชม

ไปแวะทักทายกับ แมวเจ้าถิ่น

จากมุมนี้ ทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ ท่ามกลางขุนเขา

เมื่อเทียบความสูงกับพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป ตรงนั้น

ได้เวลาเดินผ่านสะพาน ย้อนกลับทางเดิม กับภาพความประทับใจ

ภาพความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1637 หรือมีอายุกว่า 375 ปี

ป้อมที่มีความสวยงามที่สุด และไว้เอนทรีต่อๆ ไป จะนำภาพป้อมปราการอื่นๆ มาฝาก ซึ่งก็สวยงามไม่แพ้กัน

พาไปชม "พาโร ซอง" (Paro Dzong) ยืนมองพระตำหนักหลังใหม่แห่งภูฏาน (Bhutan)

หลังจากเครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินที่หวาดเสียวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พวกเราก็นั่งรถผ่านป้อมปราการขนาดใหญ่แห่งเมืองพาโร (Paro) เพื่อไปทานอาหารกลางวันกัน ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงแห่งใหม่ "ทิมพู" (Timpu)

โดยเส้นทางการเดินทางจะเดินทางไปยังเมืองทิมพู และเมืองพูนาคา ก่อนจะเดินทางย้อนเส้นทางเดิมกลับมายังเมืองพาโร และท่องเที่ยวในเมืองนี้ก่อนเดินทางกลับ ซึ่งในทริปนี้ได้มีโอกาสไปเที่ยวป้อมปราการ (Dzong) หรือ "ซอง" ในแต่ละเมือง

จากเมืองทิมพู กลับมายังเมืองพาโร ผ่านใจกลางเมืองย่านการค้า เพื่อมารับประทานอาหารกลางวันกัน ในภาพจะมองเห็นกองหิน นั่นก็คือ "วงเวียน" นั่นเอง แม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีกฏหมายจราจรและต่างปฏิบัติตามกฏ

สำหรับอาหารตลอดทริปเที่ยวภูฏานนั้น อร่อยทานได้สบาย

ขอเก็บบันทึก "ภาพที่มีทุกบ้าน" ซึ่งภาพนี้พิเศษที่รวมกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์

ได้เวลาท่องเที่ยวกันต่อ ภาพระหว่างนั่งรถ จะมองเห็นต้นแอ๊ปเปิ้ลออกลูกเต็มต้น เป็นภาพปกติที่เห็นได้ตลอดทาง

มองเห็นแม่น้ำไหลผ่าน แต่จะไม่เห็นชาวบ้านตกปลา หรือจับปลาอย่างแน่นอน เพราะชาวภูฏานจะไม่รับประทานปลาจากแม่น้ำ

รถบัสของพวกเราแล่นไปอีกมุมของป้อมปราการ ซึ่งอีกไม่ไกลก็จะเดินทางถึงแล้ว ซึ่งเราจะเที่ยวยังป้อมที่อยู่ด้านบนนั้นก่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บของสำคัญไว้หลากหลาย

เป็นทริปที่ไม่ได้งีบนอนตลอดเส้นทางนั่งรถทั้ง 4 วันเต็ม เพราะภาพตลอดข้างทาง ตื่นตาตื่นใจให้ได้เก็บภาพประทับใจไว้ จนยากที่จะวางกล้องจากมือ

น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา

พวกเรามาถึงกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวและบันทึกภาพประทับใจกันไว้

ไม่บ่อยครั้งนักที่ไปท่องเที่ยวแต่ละแห่ง แล้วจะไม่พบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ

ดังนั้น จะถ่ายภาพมุมไหน ก็สบาย ไม่ต้องรอคิวบันทึกภาพ

ภาพเมืองพาโร จากมุมสูง ดูเหมือนเมืองในหุบเขา รายล้อมด้วยธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์

ถึงทางเดินเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์กันแล้ว ซึ่งไม่อนุญาตให้บันทึกภาพภายใน จึงฝากกล้องไว้กับไกด์ แต่ภายในมีประมาณ 5 ชั้น ซึ่งสะสมสิ่งต่างๆ หลากหลาย เช่น พระพุทธรูปต่างๆ งดงามมาก, ผ้าทังก้า (Thangka) ซึ่งเป็นภาพวาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงบนผ้า, ทาคิน (Takin) ซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของภูฏาน รูปร่างหน้าตาคล้ายแพะ แต่มีขนยาวตัวโตเท่าวัว

และที่ต้องทึ่งมากๆ คือ สแตมป์ (Stamp) เพิ่งทราบว่าภูฏานมีสแตมป์หลากหลาย และสวยมากๆ รวมทั้งมีเทคโนโลยีในการพิมพ์สแตมป์ 3 มิติ ตั้งแต่สมัยที่ยานอพอลโลไปยังดวงจันทร์ ปี ค.ศ. 1968

ฝนที่ตกทางโน้น ... หนาวถึงคนทางนี้

มองเห็นฝนกำลังโปรยปราย ตามไล่หลังพวกเรามา ทำให้รีบเดินไปขึ้นรถ แต่อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพแบบนี้

ภาพธรรมชาติที่ยังสวยงาม ในบรรยากาศที่เย็นสบายในช่วงฤดูฝน แต่ตลอดการเดินทางเจอฝนบ้าง แต่ฝนตกเวลาที่เราอยู่บนรถ แต่พอถึงสถานที่ท่องเที่ยวฝนก็หยุด น่าอัศจรรย์จริงๆ

พบกันดอกไม้ชนิดนี้อีกแล้ว ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในภูฏาน

รถบัสเรามาใกล้ป้อมปราการ "พาโรซอง" (Para Dzong) หรือมีชื่อเป็นทางการว่า "รินปุงซอง" (Rinpung Dzong) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1646

เดินเข้ามาภายใน ซึ่งมีบริเวณกว้างขวาง แต่คล้ายกับ "พูนาคาซอง" และ ป้อมปราการอื่นๆ ที่จะมีวัดอยู่ภายใน

รูปแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

ขอบันทึกภาพครอบครัวประทับใจกันหน่อย ... แช๊ะ!

ขอบันทึกภาพครอบครัวโรแมนติคกันหน่อย ... แช๊ะ!

มีความสงบเงียบ และมีมนต์เสน่ห์

จากมุมนี้ มองเห็นพิพิธภัณฑ์ที่เราเพิ่งเที่ยวกันมา

ภายในมีองค์พระพุทธรูปสวยงาม แต่ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ

ได้ยินเสียงนกจำนวนมาก จนต้องเงยมองดู

ซึ่งแน่นอนที่ทุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวัด จะต้องมี "กงล้อมนตรา" หรือ "กงล้ออธิษฐาน" เรียงยาวไปตลอดทางเดิน

รวมไปถึง พุทธศิลป์ที่งดงาม เหนือคำบรรยาย

ต้องขอบันทึกภาพประทับใจไว้ชื่นชม

แต่ไฮไลท์อีกจุดของป้อมปราการแห่งนี้ ต้องเดินทางที่มุมนี้

ลองซูมสุดๆ ไปยังสะพาน

มองเห็นเครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่สนามบินพาโร

มองไปทางขวา จะเห็นแม่น้ำหลักที่พาดผ่านเมืองพาโร

แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น ก็คือ พระราชวังของกษัตริย์จิ๊กมี ซึ่งทรงประทับในพระตำหนักซึ่งเป็นอาคารหลายชั้น

มองเห็น พระตำหนักหลังใหม่ ที่กำลังก่อสร้างเพื่อให้ทันก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสในเดือน ตุลาคม ปีที่แล้ว ซึ่งภาพนี้ถ่ายไว้ในเดือนสิงหาคม

บันทึกภาพจากมุมสวยๆ แบบนี้ ... แช๊ะ!

เก็บความงามจากธรรมชาติ และความสุขที่ได้เห็น

ได้เวลาเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งเย็นวันนี้จะมีการจัดปาร์ตี้และชมการแสดงรอบกองไฟ รวมทั้งร่วมร้องรำทำเพลงกับชาวภูฏานอย่างสนุกสนาน ประทับใจ

ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป แต่เก็บความประทับใจไว้

การเดินทางท่องเที่ยว เป็นการพักผ่อน เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ เป็นประสบการณ์ เป็นการเสริมมิตรภาพให้ยิ่งเหนียวแน่น และเป็นการเติมพลังในการทำงานต่อไป

ไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ที่ใกล้หรือไกล แต่อยากให้เราเปิดโอกาสตัวเราด้วยการท่องเที่ยวกันนะ

เอนทรี่อื่นๆ เกี่ยวกับภูฏาน